ประเพณีรัดเท้า

ประเพณีรัดเท้าประเพณีรัดเท้าใน เกิดขึ้นที่ในประเทศจีน

เกิดจากราชวงศ์เเห่งหนึ่งที่เก่าเเก่ ประเพณีรัดเท้านี้ทำมานานเเล้ว การรัดเท้าถือว่ามีผลต่อชีวิตประจำวันของผู้หญิงในสมัยนั้นมาก เพราะคนสมัยก่อนของจีน เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่มีเท้าเล็กกลม เบาบาง เป็นผู้หญิงที่มีชาติตระกูลดี เป็นหญิงสูงศักดิ์ มีเเต่ผู้ชายอยากร่วมที่จะเเต่งงานด้วย ส่วนผู้หญิงเท้าปกติหรือเท้าบาน เท้าใหญ่ จะถูกผู้ชายมองว่าไม่สวย ไม่มีชาติตระกูล จน ผู้หญิงสมัยก่อนของจีนนั้น ก็จะถูกพ่อเเม่รัดเท้า เพื่อที่จะไห้ลูกของตัวเองไปได้ชายที่มียศสูงใหญ่กว่า ในราชวงศ์นั้น พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ จะมีพระสนม พระชายาที่เท้าเล็กทุกคนเพราะเชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่สวย ก่อนจะเข้าห้องหอกับพระมหากษัตริย์นั้น เท้าที่ถูกทำไห้เล็ก ติดกระดูก นิ้วเท้าผิดรูปร่าง มักจะมีกลิ่นเหม็นเน่า ต้องเอาน้ำผสมกับน้ำหอมๆมาเเช่เท้าก่อนจะถวายตัวทุกคน

เพื่อลดกลิ่นเหม็นเน่าของเท้าที่ถูกรัดไว้ การรัดเท้ามักจะเริ่มทำตั้งเเต่6ขวบขึ้นไปเพราะกระดูกยังอ่อน 10ขวบขึ้นไปทำไม่ได้เเล้วเพราะจะทำไห้เจ็บมาก การรัดเท้า จะใช้การหักนิ้วเท้าทั้งหมด งอเข้าไปไห้หมด จะทำไห้เท้าเปลี่ยนเป็นรูปสามเหลี่ยม หลังจากนั้นใช้ผ้ามัดไว้ไม่ไห้นิ้วนั้นกางออกมา ต้องทำไห้ครบ2ข้างเเละที่สำคัญต้องเท่ากันด้วย เพราะถ้าเท่ากันเขาจะมองว่าเป็นผู้หญิงสวย เรียกกันว่า เท้าดอกบัว ทำไห้สาวจีนในสมัยนั้นต้องเจ็บปวดทรมานอย่างเเสนสาหัสกับค่านิยมเเบบนี้ กว่าจะเดินได้ใช้เวลามากกว่า5ปีเลยทีเดียว บางคนถึงขั้นพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คนสมัยก่อนของจีนเขาเชื่อกันว่า การรัดเท้าของผู้หญิง ทำไห้ผู้ชายเห็นเเล้วมีอารมณ์ทางเพศ ทำไห้อยากมีอะไรด้วยมากขึ้น 

การรัดเท้าจะทำได้โดยผู้เป็นเเม่ของเด็กหญิงจะเป็นคนทำไห้ โดยที่จะเลือกวันที่ตรงกับวันมงคล เพื่อที่จะได้เป็นสิริมงคลไห้เเก่ลูกสาวของตัวเอง เเต่อาจจะเป็นค่านิยมผิดๆที่สามัญชนนอกวังอาจจะจำมาก็ได้ เพราะฮ่องเต้จะใช้การรัดเท้าไห้นางสนมในวังเพื่อไม่ไห้ไปไหนไกลๆ คนนอกวังอาจจะจำมาว่า การรัดเท้าฮ่องเต้ชอบ ทำไห้นิยมรัดเท้าลูกสาวของตัวเองกันเพื่อที่จะไห้ลูกเข้าวังบ้าง จึงเกิดค่านิยมเเบบผิดๆกันไป พอปฏิวัติจีนเกิดขึ้น ก็สั่งห้ามมีการรัดเท้าเกิดขึ้นอีก เเต่ปัจจุบันการรัดเท้าในหญิงชาวจีนยังมีอยู่

เเต่พบเจอได้เเค่ผู้หญิงสูงอายุเท่านั้น เพราะเขาเกิดทันในยุคนั้น ทั่วโลกต่างตกตะลึงกับการรัดเท้าของจีนมาก เพราะไม่น่าเชื่อว่าประเพณีเเบบนี้จะมีอยู่บนโลก นับว่าเป็นประเพณีสยองอย่างหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้