เป็นที่ทราบกันดีว่านางกวักคือรูปปั้นที่มักถูกวางไว้หน้าร้าน และพ่อค้าแม่ค้ามีการนำมาจัดวางไว้หน้าร้านเพื่อกราบไหว้บูชาโดยหวังว่า กิจการ การค้าขายของตนเองนั้นจะมีความเจริญรุ่งเรืองสามารถขายของได้ทุกวันได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งตามประวัติแล้วนางกวัก นั้นแต่เดิมชื่อว่านางสุภาวดี มีพ่อชื่อสุจิตราและมีแม่ชื่อสุมณฑา
โดยนางสุภาวดีนั้นเป็นชาวเมืองมัชฌากาสันซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองสาวัตถี โดยครอบครัวของพระนางสุภาวดีนั้นประกอบอาชีพค้าขายเอามาตามผู้เป็นพ่อต้องการที่จะมีการขยายกิจการ ได้ซื้อเกวียนมาหนึ่งเล่มและสั่งสินค้ามาขึ้นเกวียน แล้วก็ขี่เกวียน ออกไปเร่ค้าขายสินค้าตามท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งในบางครั้ง พระนางสุภาวดี ก็จะขออนุญาตพ่อติดตามไปด้วย เพื่อช่วยค้าขายในบางครั้ง และหวังว่าเวลาออกไปค้าขายกับพ่อก็จะได้เห็นสถานที่ต่างๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อนระหว่างที่เอาไปค้าขายกับพ่อ
ซึ่งระหว่างทางไปค้าขายพระนางสุภาวดีได้พบกับพระกะสะปะเถระ เจ้าผู้เป็นอริสงฆ์ เมื่อนางได้รับฟังธรรมเทศนาจากพระกะสะปะเถระเจ้า พระกะสะปะเถระก็ได้กำหนดจิต ซึ่ง พระกะสะปะเถระนั้นเป็นพระอรต์จึงได้ให้พรกับพระนางสุภาวดี โดยจะให้พรกับนางทุกครั้งที่นางเดินทางไปฟังธรรม
ต่อมานางสุภาวดี ได้เดินทางติดตามพ่อของตัวเองไปทำการค้าอีกรอบ และครั้งนี้ก็ได้มีโอกาสไปฟังธรรมกับกับ พระสีวลีเถระ จึงทำให้นางสุภาวดีมีความรู้อย่างมากเกี่ยวกับ หลักธรรมต่างต่าง ซึ่งตามประวัติแล้วพระสีวลีเป็นคนที่วิเศษกว่าพระองค์อื่นอื่น เพราะว่ามีการเล่าประวัติของท่านเอาไว้ว่า ตอนที่แม่ท่านท้องท่านนั้นต้องทั้งท้องท่านนานถึง 7 ปีกว่าจะคลอดท่านออกมา และเมื่อคลอดแล้วท่านก็ยังเดินได้อีก 7ก้าวอีกด้วย ซึ่งนางสุภาวดีมักจะไปฟังพระสีวลีเทศนาบ่อยบ่อยทำให้ท่านซึ่งถือว่าเป็นพระอรหันต์อีกรูปก็ได้ให้พรกับนางสุภาวดีแลครอบครัวว่าให้ค้าขายได้กำไร
มีเงินมีทองมากมายจึงส่งผลให้พ่อของนางทำการค้าได้รุ่งเรืองและไม่เคยค้าขายขาดทุน และเมื่อพ่อของนางรู้ว่าที่ค้าขายร่ำรวยได้ จนกลายมาเป็นเศรษฐีเป็นเพราะนางสุภาวดี พ่อของนางสุภาวดีจึงได้หมั่นฟังธรรมกับพระพุทธเจ้าสืบมาและเมื่อนางสุภาวดี เสียชีวิตลง ชาวบ้านจึงได้พากันปั้นรูปปั้นของนางสุภาวดีขึ้นเพื่อเอาไว้บูชาและขอให้การค้าเจริญรุ่งเรือง ซึ่งความเชื่อนี้ได้แพร่หลายข้ามประเทศมายังสุวรรณภูมิและยังเป็นความเชื่อที่พ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายศรัทธามาจนถึงทุกวันนี้